ในงานเลี้ยงอาหารค่ำวันคริสต์มาสที่จัดขึ้นที่คริสตจักรของเราเพื่อเฉลิมฉลองวัฒนธรรมนานาชาติของผู้ที่มาร่วมงาน ฉันปรบมืออย่างสนุกสนานไปกับเสียงดาร์บูกา (กลองชนิดหนึ่ง) และเสียงอู๊ด (เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์) ขณะที่วงดนตรีบรรเลงเพลงคริสต์มาสดั้งเดิมของตะวันออกกลางชื่อว่า “เลย์ลัต อัล-มิลาด” นักร้องประจำวงได้อธิบายความหมายของชื่อเพลงว่า “คืนแห่งคริสต-สมภพ” เนื้อร้องเตือนใจผู้ฟังว่าหัวใจของคริสต์มาสคือการรับใช้ผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดหาน้ำให้แก่ผู้ที่กระหายน้ำ หรือการปลอบโยนผู้ที่ร้องไห้
บทเพลงนี้น่าจะนำมาจากคำอุปมาตอนหนึ่งที่พระเยซูทรงชมเชยผู้ติดตามของพระองค์ในสิ่งที่พวกเขากระทำเพื่อพระองค์ คือพวกเขาได้จัดเตรียมอาหารเมื่อพระองค์ทรงหิว หาน้ำดื่มให้เมื่อทรงกระหาย และเป็นเพื่อนดูแลเมื่อพระองค์เจ็บป่วยและอยู่ลำพัง (มธ.25:34-36) แทนที่จะตอบรับคำชมเชยของพระเยซู ผู้คนในคำอุปมากลับประหลาดใจเพราะคิดว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อพระคริสต์ พระองค์ตรัสตอบว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40)
ในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ ผู้คนมักได้รับการหนุนใจให้เข้าถึงหัวใจของคริสต์มาสด้วยการแสดงท่าทีในการเฉลิมฉลอง แต่ “เลย์ลัต อัล-มิลาด” เตือนว่าเราสามารถนำหัวใจที่แท้จริงของคริสต์มาสไปปฏิบัติโดยการห่วงใยผู้อื่น และที่น่าประหลาดใจคือเมื่อเราทำเช่นนั้น เราไม่เพียงแต่รับใช้ผู้อื่นเท่านั้น แต่เรายังได้รับใช้พระเยซูด้วยเช่นกัน
ในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งเป็นวันหยุดประจำชาติ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้รับมอบไก่งวงสองตัวที่ทำเนียบขาวก่อนที่จะทำการไถ่ชีวิตไก่งวงสองตัวนั้น แทนที่จะถูกเสิร์ฟเป็นอาหารมื้อหลักในวันขอบคุณพระเจ้าตามประเพณีดั้งเดิม ไก่งวงนั้นจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างปลอดภัยในฟาร์ม แม้ว่าไก่งวงนั้นจะไม่อาจเข้าใจถึงอิสรภาพที่พวกมันได้รับ แต่ประเพณีประจำปีที่ไม่ธรรมดานี้ชี้ให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการอภัยที่ให้ชีวิต
ผู้เผยพระวจนะมีคาห์เข้าใจถึงความสำคัญของการอภัยโทษเมื่อท่านเขียนคำเตือนรุนแรงถึงชาวอิสราเอลที่ยังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม การบันทึกของมีคาห์มีลักษณะคล้ายกับการฟ้องร้องในศาล โดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานกล่าวโทษชนชาตินั้น (มคา.1:2) ที่ปรารถนาสิ่งชั่วร้ายและหลงระเริงในความโลภ ความไม่ซื่อสัตย์ และความทารุณ (6:10-15)
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการกระทำที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ มีคาห์จบลงด้วยความหวังที่ตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ว่าพระเจ้ามิได้ทรงถือพระพิโรธเนืองนิตย์ แต่ “ทรงยกโทษ และทรงให้อภัย” (7:18) ในฐานะพระผู้สร้างและองค์ผู้พิพากษาเหนือสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสามารถประกาศด้วยสิทธิอำนาจว่าพระองค์จะไม่ทรงถือโทษในการกระทำของเราเพราะพระสัญญาที่พระองค์ทรงมีต่ออับราฮัม (ข้อ 20) ซึ่งสำเร็จสมบูรณ์ในการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู
การทรงยกโทษในความล้มเหลวที่เราไม่อาจดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า ถือเป็นของประทานแห่งพระพรอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่คู่ควร เมื่อเราได้เข้าใจมากขึ้นถึงประโยชน์ของการทรงยกโทษโดยสมบูรณ์ของพระองค์แล้ว ขอให้เราตอบสนองด้วยการสรรเสริญและขอบพระคุณ
ผู้คนเกือบ 107,000 ชีวิตในสนามกีฬายืนรอด้วยใจจดจ่อ เมื่อเซ็ธ สมอล นักเตะทีมอเมริกันฟุตบอลมหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็มลงสนามขณะที่เหลือเวลาสองวินาทีในการแข่งขัน เมื่อทีมเอแอนด์เอ็มมีคะแนนเสมอ 38-38 กับทีมที่ดีที่สุดในประเทศซึ่งครองแชมป์มาอย่างยาวนาน การยิงประตูได้จะเป็นการปิดเกมแห่งชัยชนะที่พลิกผันครั้งใหญ่ สมอลดูสงบนิ่งเมื่อเขายืนต่อแถวเพื่อยิงประตู ทั้งสนามโห่ร้องด้วยความโกลาหลเมื่อลูกบอลพุ่งเข้าประตูเพื่อทำคะแนนแห่งชัยชนะ
เมื่อนักข่าวถามถึงการเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลาที่เคร่งเครียดนั้น สมอลกล่าวว่าเขาย้ำกับตัวเองด้วยประโยคแรกจากพระธรรมสดุดี 23 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” เมื่อสมอลต้องการกำลังและความเชื่อมั่น เขาใช้การเปรียบเทียบอันลึกซึ้งส่วนตัวว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะของเขา
สดุดี 23 เป็นพระธรรมอันเป็นที่รักเพราะพระคำบทนี้ยืนยันว่าเราสามารถสงบนิ่งหรือได้รับการเล้าโลมใจ เพราะเรามีองค์ผู้เลี้ยงที่ทรงสัตย์ซื่อและรักเรา ผู้ทรงคอยดูแลเรา ดาวิดเป็นพยานถึงความกลัวที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือยากลำบาก และการปลอบโยนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม (ข้อ 4) คำว่า “เล้าโลม[ใจ]” สื่อถึงความแน่นอน หรือความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะเดินหน้าไป เพราะการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ที่คอยชี้นำเรา
เมื่อเราเดินเข้าสู่สถานการณ์ที่ท้าทายโดยไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เราจะมีใจที่กล้าหาญได้เมื่อเราย้ำกับตัวเองว่าพระผู้เลี้ยงที่ดีทรงเดินไปกับเรา
โบสถ์โฮลี่ครอสอันงดงามตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหินสีแดงในเมืองเซโดน่า รัฐอริโซน่า ทันทีที่เข้าไปในโบสถ์เล็กๆแห่งนี้ฉันก็ถูกดึงดูดด้วยรูปปั้นพระเยซูบนกางเขนที่ดูต่างไปจากปกติ แทนที่จะเป็นกางเขนแบบดั้งเดิม พระเยซูกลับถูกตรึงบนกิ่งของต้นไม้ที่มีลำต้นสองต้น ลำต้นแนวนอนซึ่งถูกตัดและตายแล้วแสดงถึงชนเผ่าอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมที่ปฏิเสธพระเจ้า ลำต้นอีกต้นเติบโตขึ้นและแตกกิ่งก้านออกไปเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่ายูดาห์ที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด
ศิลปะที่มีนัยสำคัญในเชิงสัญลักษณ์นี้เล็งถึงคำพยากรณ์สำคัญในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระเยซู แม้ชนเผ่ายูดาห์จะตกเป็นเชลย แต่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้มอบพระดำรัสแห่งความหวังจากพระเจ้าว่า “เราจะให้คำสัญญาที่เรากระทำไว้...สำเร็จ” (ยรม.33:14) ในการประทานพระผู้ช่วยซึ่งจะ “ให้ความยุติธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น” (ข้อ 15) หนทางเดียวที่ผู้คนจะทราบว่าองค์พระผู้ช่วยนี้คือใครก็คือ พระองค์จะ “ให้อังกูรชอบธรรมเกิดมาเพื่อดาวิด” (ข้อ 15) หมายความว่าองค์พระผู้ช่วยนี้จะสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด
ประติมากรรมนี้รวบรวมความจริงสำคัญซึ่งอยู่ในรายละเอียดเชื้อสายตระกูลของพระเยซูไว้ได้อย่างมีฝีมือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะกระทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และยังเป็นสิ่งที่เตือนเราว่า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ในอดีตทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์จะทรงสัตย์ซื่อในการรักษาพระสัญญาที่ทรงมีต่อเราในอนาคตด้วย
แม้ขณะที่จอห์นนี่ แคช นักร้องเพลงคันทรี่ในตำนานกำลังเข้าใกล้ความตาย เขายังมุ่งมั่นที่จะทำเพลงต่อไป อัลบั้มสุดท้ายของเขา อเมริกันชุดที่ 6 : ไม่มีหลุมศพ ถูกบันทึกเสียงในช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิตเขา เพลงที่เป็นชื่ออัลบั้มซึ่งแคชนำเพลงนมัสการของคล็อด เอลลีกลับมาร้องใหม่ ได้เผยให้เห็นถึงความคิดช่วงสุดท้ายของเขาเมื่อเราได้ยินเขาร้องถึงความหวังแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย แม้เสียงทุ้มอันโด่งดังของเขาจะแหบลงเพราะสุขภาพที่ทรุดโทรม แต่ก็ยังเป็นคำพยานแห่งความเชื่อที่ทรงพลัง
ความหวังของจอห์นนี่ไม่ใช่แค่ความจริงที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ในตอนเช้าของวันอาทิตย์อีสเตอร์ แต่เขาเชื่อว่าวันหนึ่งร่างกายของเขาจะฟื้นคืนชีวิตและเป็นขึ้นมาใหม่
นี่เป็นความจริงสำคัญที่ต้องได้รับการยืนยันรับรอง เพราะแม้แต่ในสมัยของเปาโล ผู้คนก็ปฏิเสธเรื่องการที่ร่างกายจะฟื้นกลับมาในอนาคต เปาโลวิจารณ์การโต้เถียงของพวกเขาอย่างรุนแรงเมื่อท่านเขียนว่า “ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่ ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย” (1 คร.15:13-14)
ดังเช่นที่หลุมฝังศพไม่อาจยื้อร่างของพระเยซูไว้ได้ วันหนึ่งคนเหล่านั้นที่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายก็ “จะกลับได้ชีวิต” (ข้อ 22) และในร่างกายที่เป็นขึ้นมาของเรานั้น เราจะชื่นชมยินดีในนิรันดร์กาลร่วมกับพระองค์ในแผ่นดินโลกใหม่ นี่คือเหตุผลที่เราจะร้องสรรเสริญ!
ความชื่นชมยินดีปรากฏชัดในน้ำเสียงของคณะนักร้องประสานเสียงมัธยมที่ร้องเพลงของประเทศอาร์เจนตินาชื่อ “เอล ซีเอโล กันตา อลิเกรีย (El Cielo Canta Alegria)” ฉันเพลิดเพลินกับการแสดงแต่ไม่เข้าใจเนื้อเพลงเพราะไม่รู้ภาษาสเปน แต่ไม่นานฉันก็ได้ยินคำที่คุ้นเคยเมื่อคณะประสานเสียงร้องด้วยความปีติยินดีว่า “อาเลลูยา!” ฉันได้ยินคำว่า “อาเลลูยา” ซ้ำหลายครั้ง นี่เป็นเสียงป่าวร้องสรรเสริญแด่พระเจ้าซึ่งฟังดูคล้ายกันในภาษาส่วนใหญ่ทั่วโลก ด้วยความอยากรู้ความเป็นมาของเพลงนั้น หลังจบคอนเสิร์ตฉันจึงค้นหาในอินเทอร์เน็ตและพบว่าชื่อเพลงแปลว่า “สวรรค์กำลังร้องอย่างชื่นชมยินดี”
ในข้อพระคำแห่งการเฉลิมฉลองในวิวรณ์ 19 เราได้เห็นภาพของความเป็นจริงที่แสดงออกในบทเพลงประสานเสียงนั้น ทั้งหมดในสวรรค์กำลังชื่นชมยินดี! ในนิมิตเกี่ยวกับอนาคตของอัครสาวกยอห์นในหนังสือเล่มสุดท้ายของพันธสัญญาใหม่ ท่านเห็นผู้คนและทูตสวรรค์จำนวนมหาศาลมารวมตัวกันในสวรรค์เพื่อประกาศความกตัญญูต่อพระเจ้า ยอห์นบันทึกไว้ว่าคณะนักร้องส่งเสียงแซ่ซ้องเฉลิมฉลองฤทธานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงมีชัยเหนือความชั่วร้ายและความอยุติธรรม การปกครองของพระองค์ทั่วทั้งแผ่นดินโลก และชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์ตลอดไป แล้วชาวสวรรค์ทุกคนก็ประกาศก้องซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ฮาเลลูยา!” (ข้อ 1, 3, 4, 6 TNCV) หรือ “สรรเสริญพระเจ้า!”
สักวันหนึ่ง ผู้คนจาก “ทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชาติ และทุกประเทศ” (5:9) จะประกาศพระสิริของพระเจ้า และเสียงของพวกเราในทุกๆภาษาจะตะโกนพร้อมกันด้วยความยินดีว่า “ฮาเลลูยา!”
ฉันคาดว่าจะได้กล้วยแปดลูก แต่เมื่อฉันเปิดถุงกระดาษที่ส่งมาที่บ้าน ฉันกลับพบกล้วยถึงยี่สิบลูก! ฉันรู้ทันทีว่าการย้ายมาอังกฤษทำให้ฉันต้องเปลี่ยนหน่วยวัดของของชำที่สั่ง จากปอนด์มาเป็นกิโลกรัมด้วย แทนที่จะสั่งกล้วยสามปอนด์ ฉันกลับไปสั่งกล้วยสามกิโลกรัม (เกือบเจ็ดปอนด์!)
ด้วยจำนวนกล้วยที่มากมายขนาดนั้น ฉันจึงทำเค้กกล้วยหอมสูตรยอดนิยมเป็นจำนวนหลายชิ้นเพื่อเป็นพรให้กับคนอื่น ขณะที่บดกล้วย ฉันเริ่มคิดถึงชีวิตในด้านอื่นๆของตัวเองที่เต็มไปด้วยความบริบูรณ์อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งในแต่ละเส้นทางชีวิตนั้นเมื่อมองย้อนกลับไปล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
ดูเหมือนเปาโลจะมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันเมื่อท่านใคร่ครวญถึงความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าในชีวิตของท่าน ในจดหมายฉบับแรกที่ท่านเขียนถึงทิโมธี เปาโลได้บรรยายถึงชีวิตของท่านจำเพาะพระพักตร์พระเยซู โดยเรียกตัวเองว่าเป็น “คนหลู่พระเกียรติ ข่มเหง” (1 ทธ.1:13) และเป็น “ตัวร้ายที่สุดในบรรดาคนบาป” (ข้อ 16 TNCV) พระเจ้าทรงเทพระคุณ ความเชื่อ และความรักลงมาอย่างล้นเหลือในชีวิตที่แหลกสลายของเปาโล (ข้อ 14) หลังจากที่เล่าถึงความบริบูรณ์อันเหลือล้นในชีวิตของท่านแล้ว เปาโลก็อดไม่ได้ที่จะสรรเสริญพระเจ้า โดยประกาศว่าพระองค์ทรงสมควรที่จะรับ “พระเกียรติและพระสิริ...สืบๆไปเป็นนิตย์” (ข้อ 17)
เช่นเดียวกับเปาโล เราทุกคนได้รับพระคุณอันล้นเหลือเมื่อเรายอมรับข้อเสนอของพระเยซูในการช่วยให้พ้นจากบาป (ข้อ 15) เมื่อเราหยุดเพื่อใคร่ครวญถึงพระพรที่ตามมาทั้งหมด เราจะพบว่าตัวเองกำลังสรรเสริญพระเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาร่วมกันกับเปาโล
ความเมตตาหรือการแก้แค้นดีล่ะ อิสยาห์เพิ่งถูกตีที่ศีรษะระหว่างการแข่งขันเบสบอลชิงแชมป์ระดับภูมิภาค เขาทรุดตัวลงกับพื้นมือกุมที่ศีรษะ รู้สึกขอบคุณที่หมวกกันน็อกป้องกันเขาจากการบาดเจ็บสาหัส เมื่อการแข่งขันดำเนินต่อไป อิสยาห์สังเกตว่าคนขว้างลูกรู้สึกว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัดจากความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ ในเวลานั้นอิสยาห์ได้ทำบางอย่างที่ไม่ธรรมดาจนวิดีโอที่เขาตอบสนองต่อเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปหาคนขว้างลูก สวมกอดอย่างปลอบโยนและแสดงให้คนขว้างลูกแน่ใจว่าเขาไม่เป็นไร
ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท อิสยาห์เลือกความเมตตา
ในพันธสัญญาเดิม เราเห็นว่าเอซาวทำสิ่งที่คล้ายกันแต่ยากกว่ามาก คือเลือกที่จะละทิ้งแผนการที่เก็บงำมายาวนานที่จะแก้แค้นยาโคบน้องชายฝาแฝดที่หลอกลวง เมื่อยาโคบกลับมาที่บ้านหลังจากอพยพไปยี่สิบปี เอซาวเลือกความเมตตาและการอภัยแทนการแก้แค้นที่ยาโคบทำผิดต่อเขา เมื่อเอซาวเห็นยาโคบ เขาก็ “วิ่งออกไปต้อนรับ กอด[ยาโคบ]” (ปฐก.33:4) เอซาวยอมรับคำขอโทษของยาโคบและบอกให้เขารู้ว่าตนเองไม่เป็นไร (ข้อ 9-11)
เมื่อมีคนแสดงการสำนึกผิดในความผิดที่กระทำต่อเรา เรามีทางเลือกที่จะเมตตาหรือแก้แค้น การเลือกที่จะสวมกอดพวกเขาด้วยความเมตตานั้นเป็นการทำตามแบบอย่างของพระเยซู (รม.5:8) และเป็นหนทางไปสู่การคืนดีกัน
ทิ้งไปในทะเล
ฉันอาศัยอยู่ใกล้ทะเลสาบมิชิแกน หนึ่งในแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลก อย่างไรก็ตาม ความงามของมันได้บดบังพลังน้ำมหาศาลของมันไว้ ในปี 2020 เมื่อคลื่นจากระดับน้ำที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้ฉีกตัวบ้านออกจากฐานรากและพัดพาพวกมันลงสู่ทะเลสาบ เจ้าของบ้านเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าบ้านของพวกเขาตั้งอยู่ในเขตอันตราย ก็ได้พบว่าบ้านเรือนถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
อำนาจทำลายล้างของธรรมชาติเตือนให้เราระลึกถึงภาพที่คล้ายกันในพระคัมภีร์ ซึ่งผู้เขียนสดุดีบันทึกถึงความรู้สึกเมื่อความกลัวและความกังวลยังคงเกาะกุมอยู่ภายใน เป็นภาพของความรู้สึกเมื่อรู้ว่าแผ่นดินไหวกำลังจะเกิดขึ้น ภูเขาถล่ม และคลื่นในทะเลส่งเสียงกึกก้องน่ากลัว (สดุดี 46:1-3) เช่นเดียวกับที่หลายครั้งรากฐานชีวิตของเราดูเหมือนถูกสั่นคลอน ไม่ว่าจากปัญหาสุขภาพของคนที่เรารัก ความตายอันน่าสลดใจของเพื่อน หรือช่วงเวลาความเจ็บป่วยทางจิตใจ
เมื่อเผชิญความกลัวและความรู้สึกไม่มั่นคง ผู้เขียนสดุดีบันทึกว่า แม้ทุกสิ่งที่เขาหวังพึ่งนั้นสูญสิ้นไป แต่พระเจ้ายังคงเป็นที่ลี้ภัยและป้อมปราการเข้มแข็งสำหรับเขา (ข้อ 1, 7, 11) ความมั่นใจของเขาถูกย้ำถึงสองครั้งว่า “พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับเราทั้งหลาย” และความมั่นใจนี้เองทำให้เขามีสันติสุขท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ ของชีวิต
ไม่ว่าความทุกข์ทรมานใดที่คุณเผชิญอยู่ สดุดีบทที่ 46 ย้ำเตือนเราถึงความปลอดภัยและความมั่นคงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนของพระองค์เมื่อพบความทุกข์ยาก
เขียนโดย ลิซ่า เอ็ม แซมรา
คิดใคร่ครวญ :
คุณมีประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยในยามยากของคุณอย่างไร? พระกำลังของพระองค์ประคับประคองคุณอย่างไร?
อธิษฐาน :
พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเป็นป้อมปราการเข้มแข็งที่ไม่มีวันสั่นคลอน